LANNA HISTORICAL


1.  ต้นกำเนิดของอาณาจักรล้านนา 
ดินแดนล้านนา หมายถึง อาณาบริเวณที่ประกอบด้วยเมืองกลุ่มหนึ่งที่มีความสัมพันธ์กันทางเครือญาติ หรือทางวัฒนธรรม ในอดีต รัฐโบราณไม่มีอาณาเขตชัดเจน แต่ในสมัยที่อาณาจักรล้านนาเจริญรุ่งเรือง เคยมีอิทธิพลแผ่ออกไปอย่างกว้างขวาง ไปถึงดินแดนเชียงรุ่ง สิบสองพันนา และรัฐชานตอนใต้ สำหรับดินแดนที่สำคัญของล้านนาอยู่ในภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย ประกอบด้วยเมืองใหญ่น้อย แบ่งตามสภาพภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ออกเป็นสองกลุ่มคือ กลุ่มเมืองล้านนาตะวันตก ซึ่งเป็นแกนสำคัญมี เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง เชียงราย พะเยา เมืองด้านล้านนาตะวันตกนี้มีความสัมพันธ์ ร่วมกันมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์มังรายตอนต้น ส่วนกลุ่มล้านนาตะวันออก มีเมืองแพร่และเมืองน่าน ทั้งสองเมืองมีประวัติความเป็นมาคล้ายกันคือ ในสมัยแรกเริ่ม ต่างมีฐานะเป็นรัฐอิสระ มีราชวงศ์ของตนเอง มีความใกล้ชิดกับ อาณาจักรสุโขทัย และรัฐอาณาจักรล้านนา เพิ่งผนวกเอา ดินแดนแพร่และน่านได้ในสมัยพระเจ้าติโลกราชและอยู่ในอาณาจักรล้านนาได้ไม่ นานนัก อาณาจักรล้านนาก็ล่มสลายลง ในสมัยพม่าปกครองก็ใช้วิธีแบ่งแยกเมืองต่าง ๆ ด้วยเหตุผลดังกล่าว การศึกษาประวัติศาสตร์ล้านนา จึงมีศูนย์กลางการ ศึกษาอยู่ที่เชียงใหม่ เมืองหลวงแห่งล้านนา ส่วนเมืองแพร่และน่านมีการกล่าวพาดพิงไปถึงบ้าง
การก่อสร้างอาณาจักรล้านนา เริ่ม ในต้นพุทธศตวรรษที่ 19 เมื่อสถาปนานครเชียงใหม่ พ.ศ.1839 นับถึงปัจจุบันเชียงใหม่มีอายุกว่า 700 ปี แล้ว การศึกษาประวัติศาสตร์ล้านนาตามพัฒนาการแบ่งได้ดังนี้

สมัยแว่นแคว้น-นครรัฐ
ก่อน กำเนิดอาณาจักรล้านนาในพุทธศตวรรษที่ 19 ดินแดนล้านนามีรัฐต่าง ๆ กระจายตามที่ราบระหว่างหุบเขาในภาคเหนือ เช่น แคว้นหริภุญไชยในเขตแม่น้ำปิงตอนบน แคว้นโยนหรือโยนกในเขตที่ราบลุ่มน้ำกก เขลางนครในเขตลุ่มน้ำวัง เมืองแพร่ในเขตลุ่มน้ำยม เมืองปัวในเขตลุ่มน้ำน่าน และเมืองพะเยาในเขตลุ่มน้ำอิง แว่นแคว้น-นครรัฐแต่ละแห่งมีลักษณะการตั้งถิ่นฐานกระจายตัวอยู่ตามที่ราบ ระหว่างหุบเขา โดยมีเทือกเขาปิดล้อม จากการตั้งถิ่นฐานมาช้านานของรัฐใหญ่น้อยต่าง ๆ ก่อนกำเนิดอาณาจักรล้านนา ทำให้แต่ละรัฐต่างมีประวัติศาสตร์เป็นของตนเอง แคว้นหริภุญไชย ในเขตชุมชน ที่ราบลุ่มน้ำปิงตอนบน เป็นดินแดนที่พัฒนาความเจริญได้ก่อนชุมชนอื่น ๆ ในล้านนา รวมทั้งเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาและศิลปวัฒนธรรมมาตั้งแต่ต้นพุทธศตรรษที่ ๑๔ ความเจริญของหริภุญไชยเป็นพื้นฐานของอาณาจักรล้านนาที่จะก่อรูปเป็นรัฐ อาณาจักร ก่อนกำเนิดรัฐหริภุญไช ในบริเวณแอ่งเชียงใหม่-ลำพูนมีพัฒนาการเป็นรัฐขนาดเล็กหรือรัฐชนเผ่าเกิด ขึ้นแล้ว พบหลักฐานการตั้งถิ่นฐานของชนเผ่าโบราณ 2 กลุ่มคือลัวะ และ เม็ง
               ลัวะ ชาวพื้นเมืองในกลุ่มมอญเขมร ตั้งถิ่นฐานกระจายทั่วไปในภาคเหนือเลยไปถึงเมืองเชียงตุง เมืองยองและ หุบเขาต่าง ๆ ชนเผ่าลัวะมีหลายเผ่า และมีระดับความเจริญแตกต่างกันมาก พวกที่อยู่บริเวณใกล้ที่ราบลุ่มแม่น้ำ มีการคมนาคมสะดวกจะวิวัฒน์ได้เร็วกว่าพวกที่อยู่ในเขตป่าเขา ชนเผ่าลัวะในแอ่งเชียงใหม่-ลำพูน เป็นชนเก่าแก่ อยู่มาช้านานก่อนที่ชนกลุ่มอื่นจะเข้ามา ในตำนานล้านนากล่าวถึงบริเวณเชิงดอยสุเทพเป็นศูนย์กลางของชนเผ่าลัวะ ชนลัวะจะนับถือดอยสุเทพ เพราะเป็นที่สิงสถิตของผีปู่แสะย่าแสะผีบรรพบุรุษของชาวลัวะ ชาวลัวะนับถือผีปู่แสะย่าแสะ ผู้พิทักษ์ดอยสุเทพ และรักษาเมืองเชียงใหม่ จึงมีพิธีเลี้ยงผีปู่แสะย่าแสะเป็นประจำทุกปี ร่องรอยความเชื่อนี้ยังมีสืบมา ชนเผ่าลัวะในเขตที่ราบลุ่มน้ำปิงมีความเจริญในระดับก่อรูปเป็นรัฐเล็ก ๆ ลักษณะทางสังคมมีความแตกต่าง ระหว่างชนชั้น คือแบ่งคนออกเป็นสองกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มผู้ปกครองและกลุ่มสามัญชนหรือไพร่ กลุ่มผู้ปกครองมีหัวหน้าเผ่า ที่สืบเชื้อสายกันต่อมาเรียกว่า ซะมัง
               เรื่อง ราวการแตกสลายของชนเผ่าลัวะเป็นผลมาจากการขยายความเจริญรุ่งเรืองจากเมือง ละโว้มาสู่การสร้างเมืองหริภุญไชย พระนางจามเทวีเสด็จมาครองเมืองหริภุญไชยในบริเวณอิทธิพลของชนเผ่าลัวะ จึงเกิดความขัดแย้ง ระหว่างพระนางจามเทวีกับขุนหลวงวิลังคะ ผลจากการต่อสู้ ขุนหลวงวิลังคะพ่ายแพ้ รัฐชนเผ่า ลัวะเชิงดอยสุเทพ สลายลง สันนิษฐานกันว่า ชนเผ่าลัวะคงกระจัดกระจายไปตามป่าเขาและต่างที่ต่าง ๆ รัฐชนเผ่าลัวะ ยังคงมีในบริเวณชายขอบของแคว้นหริภุญไชย
               เม็ง ชาติพันธุ์ มอญโบราณที่ตั้งถิ่นฐานในภาคเหนือมาช้านานแล้ว เป็นกลุ่มเดียวกับมอญในแถบลุ่มน้ำเจ้าพระยา ลักษณะการตั้งถิ่นฐานมักกระจายอยู่ตามที่ราบลุ่มน้ำปิง จึงพบคำเก่าแก่เรียกแม่น้ำปิงว่า แม่ระมิง หรือแม่น้ำเม็ง หมายถึงแม่น้ำที่มีชาวเม็งอาศัยอยู่ เม็งและลัวะเป็นชนเผ่าโบราณที่เคยอยู่ในที่ราบลุ่มน้ำปิงด้วยกัน เม็ง มีปริมาณประชากรน้อยกว่าลัวะ ลัวะและเม็งมีลักษณะต่างคนต่างอยู่ไม่ใกล้ชิดกัน แต่ก็ยอมรับความเป็นชนต่างชาติพันธุ์ เม็งค่อย ๆ หายไปจากดินแดนล้านนา คงเหลือร่องรอยหมู่บ้านเม็งเก่าแก่ไม่กี่แห่ง เพราะได้รับการผสมกลมกลืนให้เป็นคนไทยเช่นเดียวกับชนเผ่าลัวะและชนเผ่าอื่นๆ

ล้านนาสมัยรัฐอาณาจักร สมัยราชวงศ์มังราย พ. ศ.1804 - 2101
ต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ดินแดนล้านนาได้พัฒนาการการปกครอง จากแว่นแคว้น-นครรัฐมาสู่รัฐแบบอาณาจักร มีเชียงใหม่เป็นศูนย์กลาง รัฐแบบอาณาจักรสถาปนาอำนาจโดยรวบรวมแว่นแคว้น-นครรัฐมาไว้ด้วยกัน ในพุทธศตวรรษที่ 19 เนื่องจากเกิดปรากฏการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ คือการสลายตัวของรัฐโบราณที่เคยรุ่งเรืองมาก่อน ดังเช่น กัมพูชา ทวารวดี หริภุญไชย และพุกาม การเสื่อมสลายของรัฐโบราณเปิดโอกาสให้เกิดการสถาปนาอาณาจักรใหม่ ของชนชาติไทยที่ผู้นำใช้ภาษาและวัฒนธรรมไทย อาณาจักรใหม่ที่เกิดในพุทธศตวรรษที่ 19 ที่สำคัญคือ ล้านนา สุโขทัย และอยุธยา อาณาจักรทั้งสามมีความเชื่อในพระพุทธศาสนาแบบเถรวาทนิกายลังกาวงศ์เช่นเดียว กัน ความเชื่อดังกล่าวสร้างความสัมพันธ์ต่อกัน ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมการแข่งสร้างบุญบารมีของกษัตริย์ จึงนำไปสู่การทำสงครามระหว่างอาณาจักร รัฐสุโขทัยสลายลงก่อน โดยถูกผนวกกับอยุธยา หลังจากนั้น สงครามระหว่างอยุธยาและล้านนามีอย่างต่อเนื่อง สงครามครั้งสำคัญอยู่ใน สมัยของ พระเจ้าติโลกราช และพระบรมไตรโลกนาถ ประวัติศาสตร์ล้านนาในสมัยรัฐอาณาจักรแบ่งตามพัฒนาการ เป็น 3 สมัย คือ สมัยสร้างอาณาจักร สมัยอาณาจักรเจริญรุ่งเรือง สมัยเสื่อมและการล่มสลาย สมัยสร้างอาณาจักร (พ.ศ. 1839-1898) การก่อตั้งอาณาจักรล้านนาเป็นผลจากการรวมแคว้นหริภุญไชยกับแคว้นโยน ในสมัยของพระยามังรายปฐมกษัติรย์ แล้วสถาปนาเมืองเชียงใหม่เป็นศูนย์กลาง การก่อตั้งเมืองเชียงใหม่หรือนพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ ใน พ.ศ. 1839 มีเป้าหมายเพื่อให้เป็นสถาบันทางการเมืองที่มีความสืบเนื่อง ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางอาณาจักรล้านนา ทั้งทางการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ สังคมและ วัฒนธรรม ด้วยเหตุนี้จึงให้ความสำคัญต่อเมืองเชียงใหม่เป็นพิเศษ นับตั้งแต่พยายามเลือกทำเลที่ตั้ง การวางผังเมือง และการสร้างสิทธิธรรม เชียงใหม่จึงเป็นศูนย์กลางความเจริญในภาคเหนือสืบมาถึงปัจจุบัน การสร้างเมืองเชียงใหม่ พระยามังรายเชิญพระยางำเมืองและพ่อขุนรามคำแหงมาร่วมกันพิจารณาทำเลที่ตั้ง พระยาทั้งสองก็เห็นด้วย และช่วยดูแลการสร้างเมืองเชียงใหม่ ด้วยเหตุที่พ่อขุนรามคำแหงมาร่วมสร้างเมืองเชียงใหม่ ทำให้ผังเมือง เชียงใหม่ได้รับอิทธิพลจากสุโขทัย เมื่อแรกสร้างกำแพงเมืองมีขนาดกว้าง 900วา ยาว 1,000 วา และขุดคูน้ำกว้าง 9 วา กำแพงเมืองเชียงใหม่ปรับเปลี่ยนไปตามกาลสมัย ปัจจุบันเป็นรูปสี่เหลี่ยมยาวด้านละ 1,600  เมตร ท สมัยอาณาจักรล้านนาเจริญรุ่งเรือง (พ.ศ. 1898 -2068 ) ในราวกลางราชวงศ์มังราย นับแต่สมัยพระญากือนา เป็นต้นมา อาณาจักรล้านนาเจริญขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และเจริญสูงสุดในสมัยพระเจ้าติโลกราชและพระยาแก้วหรือพระเมืองแก้ว ซึ่งถือเป็นยุคทอง หลังจากนั้นอาณาจักรล้านนาก็เริ่มเสื่อมลง โดยกล่าวได้ถึงความเจริญเป็นประเด็นได้คือความเจริญทางพุทธศาสนา ในยุครุ่งเรือง ตามหมู่บ้านต่าง ๆ ได้สร้างวัดเป็นศูนย์กลางชุมชน เขตเมืองเชียงใหม่มีวัดนับร้อยแห่ง ปริมาณวัดที่มากมายในยุครุ่งเรืองนั้นมีร่องรอยปรากฏเป็นวัดร้างมากมายใน ปัจจุบัน ความเจริญในพุทธศาสนา ยังได้สร้างถาวรวัตถุในพุทธศาสนาซึ่งมีคุณค่าทางศิลปวัฒนธรรมล้านนา วัดสำคัญได้แก่ วัดเจ็ดยอด วัดเจดีย์หลวง วัดพระสิงห์ วัดสวนดอก วัดบุพพาราม เป็นต้น การสร้างวัดมากมายนอกจากแสดงความเจริญในพระพุทธศาสนาแล้ว ยังสะท้อนความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจของล้านนาในยุครุ่งเรืองด้วยความเจริญเติบ โตทางเศรษฐกิจ ร่วมไปกับความเจริญรุ่งเรืองโดยรวมของรัฐ เพราะพบว่านับตั้งแต่สมัยพระญากือนาเป็นต้นมา การค้าระหว่างรัฐมีเครือข่ายกว้างขวาง มีพ่อค้าจากเมืองเชียงใหม่ ไปค้าขายถึงเมืองพุกาม ในยุคนั้นเมืองเชียงใหม่มีฐานะเป็นศูนย์กลางการค้าสำคัญ เพราะเป็นเมืองผ่าน ไปยังทางใต้และทางตะวันตก จึงมีพ่อค้าจากทุกทิศมาค้าขายที่เชียงใหม่ ทั้งเงี้ยว ม่าน เม็ง ไทย ฮ่อ กุลา สินค้าออกเชียงใหม่สู่ตลาดนานาชาติคือของป่า เมืองเชียงใหม่ทำหน้ารวบรวมสินค้าของป่าจากเมืองต่าง ๆ ทางตอนบน แล้วส่งไปขายยังเมืองท่าทางตอนล่างในดินแดนกรุงศรีอยุธยาและหัวเมืองมอญ กษัตริย์มีบทบาทการค้าของป่า โดยอาศัยการเก็บส่วยจากไพร่และให้เจ้าเมืองต่าง ๆ ในอาณาจักรส่งส่วยให้ราชธานี จึงออกกฎหมาย บังคับให้ทุกคนในอาณาจักรนำส่วยสินค้าของป่ามาถวาย รูปแบบการค้าของป่า กษัตริย์จะส่งข้าหลวงกำกับดูแล สินค้าชนิดต่าง ๆ มีการพบตำแหน่ง "แสนน้ำผึ้ง" ซึ่งเป็นข้าหลวงที่ดูแลการค้าส่วยน้ำผึ้ง และมีพ่อค้าจากอยุธยาเดินทางเข้าซื้อสินค้าในเมืองฮอด กำลังทหารที่เข้มแข็ง ในยุคที่อาณาจักรล้านนาเจริญรุ่งเรือง รัฐมีความเจริญทางการค้ามากและสภาพเศรษฐกิจดี จึงมีกองกำลังที่เข้มแข็ง ดังพบว่า ในยุคนี้อาณาจักรล้านนามีอำนาจสูงได้แผ่อิทธิพลออกไปอย่าง กว้างขวาง เช่น เมืองเชียงตุง เมืองเชียงรุ่ง เมืองยอง เมืองนาย เมืองน่าน และยังขยายอำนาจลงสู่ชายขอบ รัฐอยุธยา โดยทำสงครามติดต่อกันหลายปีระหว่างพระเจ้าติโลกราชและพระบรมไตรโลกนาถ ซึ่งในครั้งนั้น ล้านนาสามารถยึดครองเมืองศรีสัชนาลัยได้ ท สมัยเสื่อมและอาณาจักรล้านนาล่มสลาย (พ.ศ.๒๐๖๘-๒๑๐๑) เกิดขึ้นในช่วงปลายสมัยราชวงศ์มังราย นับตั้งแต่พระญาเกศเชษฐราชขึ้นครองราชย์ จนกระทั่งตกเป็นเมืองขึ้นของพม่าใน ช่วงเวลา 33 ปี ในช่วงเวลานั้นมีระยะหนึ่งที่ว่างเว้นไม่มีกษัตริย์ปกครองถึง ๔ ปี เพราะขุนนางขัดแย้งกันเอง ตกลงไม่ได้ว่าจะให้ใครเป็นกษัตริย์ การสิ้นรัชสมัยของกษัตริย์เกิดจากขุนนางจัดการปลงพระชนม์ หรือขุนนางปลดกษัตริย์ หรือกษัตริย์สละราชสมบัติ นอกจากนี้ ปัจจัยความเสื่อมสลาย ยังเกิดจากปัญหาเชิงโครงสร้างของรัฐในหุบเขา ที่ทำให้เมืองต่าง ๆ ในอาณาจักรมีโอกาสแยกตัวเป็นอิสระ ในระยะแรก เมืองราชธานีจึงพยายามสร้างเสถียรภาพให้ศูนย์กลางมีความเข้มแข็งตลอดมา โดยกษัตริย์อาศัยการสร้างสายสัมพันธ์กับเจ้าเมืองต่าง ๆ ในระบบเครือญาติ อย่างไรก็ตาม เมื่อรัฐขยายขึ้น จำเป็นต้องสร้างระบบราชการที่มีประสิทธิภาพแทนที่ระบบเครือญาติ แต่อาณาจักรล้านนาสถาปนาระบบราชการไม่ได้ รัฐจึงอ่อนแอและเสื่อมสลายลง
ล้านนาสมัยพม่าปกครอง (พ. ศ.2101 – 2317 )
นับเป็นยุคแห่งความอ่อนแอของล้านนา ในช่วงเวลาดังกล่าวส่วนใหญ่พม่าปกครอง แต่จะมีบางช่วง ที่อยุธยายกทัพ ขึ้นมายึดเชียงใหม่ได้ เช่น สมัยพระนเรศวรและสมัยพระนารายณ์ นอกจากนั้นมีบางช่วงที่เชียงใหม่ และเมืองต่าง ๆ แยกเป็นรัฐอิสระ เช่น ช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 23 ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ 24 เนื่องจากเป็นช่วงที่พม่า ประสบปัญหา การเมืองภายใน เมื่อพม่าแก้ไขปัญหาเรียบร้อยแล้วจะยกทัพมาปราบล้านนา ดังนั้นอำนาจพม่าในล้านนาจึงไม่สม่ำเสมอ ล้านนาตกเป็นเมืองขึ้นพม่าตั้งแต่สมัยพระเจ้าบุเรงนอง(พ.ศ.2101) จนถึง พ.ศ.2317สมัยพระเจ้าตากสิน ล้านนาจึงตกเป็นเมืองประเทศราชสยาม ล้านนาในสมัยพม่าปกครองเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานถึง 216 ปี นโยบายของพม่าที่ปกครองล้านนาได้ปรับเปลี่ยนไปตามเงื่อนไขการเมืองภายในของ พม่าและ ปรับตามสภาพการเมืองในท้องถิ่นล้านนา

ล้านนาสมัยเป็นเมืองประเทศราชของไทย (พ. ศ. 2317 - 2427 )
หลังจากเสร็จสงครามขับไล่พม่าออกจากเชียงใหม่ พ.ศ.2317แล้ว พระเจ้าตากสิน ทรงตอบแทนความดีความชอบ โดยโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พระญาจ่าบ้าน(บุญมา) เป็นพระยาวิเชียรปราการครองเมืองเชียงใหม่ พระเจ้ากาวิละครองเมืองลำปาง และทรงมอบอาญาสิทธิ์แก่เจ้าเมืองทั้งสองให้ปกครองบ้านเมืองตามธรรมเนียมเดิม ของล้านนา อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายสมัยธนบุรี พม่ายังคงพยายามกลับมายึดเชียงใหม่อีกหลายครั้ง ซึ่งพระญาจ่าบ้าน ป้องกันเมืองเชียงใหม่อย่างเข้มแข็ง แต่ด้วยผู้คนมีอยู่น้อยและกำลังอดอยาก จึงต้องถอยไปตั้งมั่นที่ท่าวังพร้าวและลำปาง จากนั้นจึงกลับไปที่เชียงใหม่เมื่อพม่ายกทัพกลับ การณ์เป็นไปในเช่นนี้ระยะเวลาหนึ่ง เมื่อพระญาจ่าบ้านเสียชีวิตลง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จึงทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งพระเจ้ากาวิละเป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่แทน พระเจ้ากาวิละเริ่มตั้งมั่นที่เวียงป่าซางในพ.ศ. 2325 ก่อน จากนั้นจึงเข้าตั้งเมืองเชียงใหม่ในปี พ.ศ. 2339ซึ่งเป็นปีที่เชียงใหม่มีอายุครบ 500 ปี อิทธิพลของพม่าในล้านนาถือว่าได้สิ้นสุดลงในสงครามขับไล่พม่า พ.ศ. 2347 โดยกองทัพชาวล้านนาร่วมกับกองทัพไทยยกไปตีเมืองเชียงแสนที่มั่นของพม่าได้ สำเร็จ พระเจ้ากาวิละจึงได้ฟื้นฟูเมืองเชียงใหม่โดยรวบรวมพลเมืองเข้ามาตั้งถิ่นฐาน ในเมืองเชียงใหม่ โดยใช้วิธีการกวาดต้อนชาวเมืองที่หลบหนีเข้าป่า และกวาดต้อนผู้คนจากสิบสองพันนาและรัฐชานมาเชียงใหม่ เชียงใหม่จึงพ้นจากสภาพเมืองร้างและยังได้ขยายอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวาง จากนั้นพระเจ้ากาวิละ ได้ฟื้นฟูเชียงใหม่ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ราชประเพณี โดยกระทำพิธีราชาภิเษกสถาปนาราชวงศ์เจ้าเจ็ดตนในลักษณะ เดียวกับราชวงศ์มังราย การสร้างกำแพงเมืองขึ้นใหม่ การสร้างอนุสาวรีย์ช้างเผือก และการทำนุบำรุงพุทธศาสนา เป็นต้น เชียงใหม่ในสมัยพระเจ้ากาวิละจึงมีความเจริญมั่นคงเป็นปึกแผ่น และเป็นศูนย์กลางของล้านนาที่เข้มแข็ง หลังจากสมัยพระเจ้ากาวิละแล้วก็มีเจ้าเมืองปกครองต่อมา รวมทั้งสิ้นราชวงศ์เจ้าเจ็ดตน มี 9 องค์ นโยบายและวิธีการปกครองดินแดนหัวเมืองประเทศราชล้านนา ประกอบด้วย เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ และน่านมีลักษณะระมัดระวัง ทั้งนี้เป็นผลมาจากการที่ล้านนาเคยอยู่ภายใต้การปกครองของพม่า ถึงสองร้อยกว่าปีย่อมมีความใกล้ชิดกับพม่ามาก รัฐบาลกลางที่กรุงเทพฯ เกรงว่าล้านนาจะหันกลับไปหาพม่า และในขณะเดียวกันพม่าก็พยายามแย่งชิงล้านนากลับคืนไปอีก รัฐบาลกลางจึงปกครองล้านนา โดยไม่เข้าไปกดขี่อย่างที่พม่าเคยทำกับล้านนา แต่กลับใช้วิธีการปกครองแบบผูกใจเจ้านายเมืองเหนือ โดยยอมผ่อนผันให้เจ้าเมืองมีอิสระในการปกครองภายใน เศรษฐกิจ การศาล การต่างประเทศ และขนบธรรมเนียมประเพณี ตลอดจนยกย่องให้เกียรติแก่เจ้าเมืองในโอกาสอันควร การเปลี่ยนแปลงในรูปที่รัฐบาลต้องเข้าไปควบคุมกิจการภายในหัวเมืองประเทศราช ล้านนามากขึ้นตามลำดับ จนกระทั่งในที่สุดก็ผนวกเอาล้านนาเข้าเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของไทย เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นยุคแห่งการปรับปรุงประเทศตามแบบตะวันตก ด้านการปกครองหัวเมือง มีการยกเลิกระบบการปกครอง เมืองประเทศราช ซึ่งเคยปฏิบัติกันมาช้านาน โดยจัดตั้งการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาลขึ้นแทน มีข้าหลวงเทศาภิบาลซึ่งรัฐบาลกรุงเทพฯส่งไปปกครองและขึ้นสังกัดกระทรวง มหาดไทย ระบบมณฑลเทศาภิบาลที่จัดตั้งขึ้นจึงเป็นการสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียว กันของชาติรัฐซึ่งมีอำนาจรวมศูนย์ ที่องค์พระมหากษัตริย์ การรวมหัวเมืองประเทศราชล้านนาเข้ากับส่วนกลาง รัฐบาลกลางวางเป้าหมายของการปฏิรูปการปกครองเพื่อสร้างเอกภาพแห่งชาติ ซึ่งมีองค์พระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมอำนาจเพียงแห่งเดียว การดำเนินการต้องกระทำ 2 ประการ คือประการแรก ยกเลิกฐานะหัวเมืองประเทศราชที่เป็นมาแต่เดิม โดยจัดการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล ส่งข้าหลวงมาปกครอง ขณะเดียวกันก็พยายามยกเลิกตำแหน่งเจ้าเมืองเสีย โดยรัฐบาลกลาง ริดรอนอำนาจของเจ้าเมืองอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งในที่สุดตำแหน่งเจ้าเมืองก็สลายตัวไปประการที่สอง การผสมกลมกลืนชาวล้านนาให้มีความรู้สึกเป็นพลเมืองไทยเช่นเดียวกับ พลเรือนส่วนใหญ่ของประเทศ คือให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชนในชาติ ซึ่งแต่เดิมมีความรู้สึกแบ่งแยกเป็นคนละพวก คนทางใต้เข้าใจว่าชาวล้านนาเป็นลาว ไม่ใช่ไทย รัฐบาลกลางใช้วิธีจัดการปฏิรูปการศึกษาโดยจัดระบบโรงเรียนหนังสือไทยแทนการ เรียนอักษรพื้นเมืองในวัด และกำหนดให้กุลบุตรกุลธิดาต้องศึกษาเล่าเรียนภาษาไทย ซึ่งประสบผลสำเร็จ ชาวเชียงใหม่และล้านนาต่างถูกผสมกลมกลืนจนมีความรู้สึกเป็นพลเมืองไทย การดำเนินการ มีการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านการปกครอง การศาล การภาษีอากร การคลัง การศึกษา การสาธารณสุขและอื่น ๆ โดยจัดเป็นระบบเดียวกับกรุงเทพฯ ในทุกด้าน ระหว่างการปฏิรูปการปกครอง ในช่วง ก่อนจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาล (พ.ศ.2427-2442) ตรงกับสมัยพระเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าเมืองเชียงใหม่องค์ที่ 7 (พ.ศ. 2416-2439) ซึ่งนับว่าเป็นเจ้าเมืององค์สุดท้ายที่มีอำนาจปกครองบ้านเมือง เพราะเป็นช่วงแรกของการดำเนินงานรัฐบาลกลางมีนโยบายไม่ยกเลิกตำแหน่งเจ้า เมืองในทันที ยังคงใช้ดำรงตำแหน่งอย่างมีเกียรติ แต่ขณะเดียวกันก็พยายามลดอำนาจและผลประโยชน์ทีละน้อย รัฐบาลกลางได้ส่งข้าหลวงจากกรุงเทพฯ ขึ้นมาจัดการปกครองในเมืองเชียงใหม่ ในลักษณะที่ร่วมกันปกครองกับเจ้าเมืองและเจ้านายบุตรหลาน โดยที่ข้าหลวงพยายามแทรกอำนาจลงไปแทนที่ ส่วนผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจซึ่งได้แก่รายได้จากการเก็บภาษีอากรส่วนหนึ่งต้อง ส่งกรุงเทพฯ นอกจากนั้น ป่าไม้ซึ่งแต่เดิมเป็นของเจ้าเมืองและเจ้านายบุตรหลานได้ถูกโอนเป็นของรัฐใน พ.ศ. 2439 ซึ่งเป็นช่วงก่อนการพิราลัยของพระเจ้าอินทวิชยานนท์ และหลังจากสิ้นสมัยพระเจ้าอินทวิชยานนท์แล้ว รัฐบาลกลางให้เจ้าอุปราชรั้งเมืองอยู่หลายปี จนกระทั่งเห็นว่าให้ความร่วมมือกับรัฐบาลกลางดี จึงมีการแต่งตั้งให้เจ้าอุปราชเป็นเจ้าอินทวโรรสสุริยวงษ์ เจ้าเมืองเชียงใหม่ องค์ที่ 8 (พ.ศ. 2444-2452) เมืองเชียงใหม่เติบโตอย่างมากหลังจากนโยบายเมืองหลัก โดยเฉพาะตั้งแต่ประมาณ พ.ศ.2430 เป็นต้นมา
โดยสรุปแล้วอาณาจักรล้านนาเริ่มก่อตั้งรวบรวมเป็นปึกแผ่นเมื่อ พ.ศ. 1824  เมืองเชียงใหม่ถูกสร้างขึ้นเมื่อ พ ศ. 1839 และขนานนามว่า “ นพบุรีศรีนครพิงค์ ” โดยพญามังราย (พ.ศ 1781-1860) เชียงใหม่เป็นนครหลวงอิสระ ปกครองโดยราชวงค์มังรายประมาณ 261 ปี (ระหว่าง พ.ศ. 1839 -2100)ในปีพ.ศ. 2101 เชียงใหม่เสียเอกราชให้กับพม่าและเป็นเมืองขึ้นของพม่า 200กว่าปี (พ.ศ. 2120-2317)ต่อจากนั้นพญากาวิละร่วมกับพญาจ่าเมืองได้เข้าสวามิภักดิ์ต่อกองทัพพระเจ้าตากสิน และร่วมขับไล่พม่าออกจากเมืองเชียงใหม่สำเร็จ (พ.ศ.2317) ซึ่งต่อมารัชสมัยพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงได้พระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่ตั้งพญากาวิละขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่(พญากาวิละมีเชื้อสายเรียกว่าตระกูลเจ้าเจ็ดตน)ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯได้โปรดปฏิรูปการปกครองเปลี่ยนจากนครเชียงใหม่เป็นจังหวัดเชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ.2476 จนถึงปัจจุบัน จากประวัติศาสตร์อันยาวนานของเมืองเชียงใหม่ผ่านยุคสมัยกว่า 715 ปี ทำให้เมืองเชียงใหม่ประกอบด้วยงานศิลปะจากหลายสกุลช่างทั้ง ลั๊วะ,มอญ,พม่า,เขมร,เม็ง มีความเป็นเอกลักษณ์ถึงระดับขั้นฝีมือขั้นหนึ่งในศิลปะ (CLASSIC) รวมถึงเทคนิคในการใช้ทองคำเปลว,สี,ปูนปั้น
คติการสร้างเมืองในพื้นที่ภาคเหนือก่อนสมัยพญามังราย
               ในพื้นที่เขตภาคเหนือ มีการค้นพบหลักฐานที่แสดงการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ตั้งแต่สมัย
ก่อนประวัติศาสตร์ ราว 3,500 ปีที่ผ่านมา เช่นหลักฐานที่พบในแหล่งโบราณคดีประตูผา จังหวัดลำปาง ซึ่งปรากฏภาพเขียนสีบนเพิงผา และมีการขุดพบหลุมฝังศพมนุษย์และเครื่องประกอบการฝังสันนิษฐานว่ากลุ่มคนก่อนประวัติศาสตร์เหล่านี้คงได้วิวัฒน์ผสมผสานกับวัฒนธรรมภายนอก จนพัฒนาเป็นชุมชนระดับเมืองและรัฐในเวลาต่อมา
               หลักฐานเอกสารประเภทตำนานของล้านนา แสดงให้เห็นว่าบริเวณที่ราบเชียงแสน ลุ่มน้ำกกและลุ่มน้ำใกล้เคียงมีการสืบเนื่องของชุมชน ซึ่งสามารถแบ่งเป็น 2 ช่วงเวลา คือ 1) สมัยชุมชนในตำนาน เช่น เมืองสุวรรณโคมคำ เมืองอุโมงคเสลา และเมืองโยนกพันธุสิงหนวัติ ซึ่งตำนานกล่าวย้อนอดีตไปไกลจนไม่สามารถกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจน ทั้งยังไม่มีหลักฐานทางโบราณคดีรองรับความมีอยู่จริงของชุมชนเหล่านี้   และ  2) สมัยเงินยาง ชุมชนบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำกก มีพัฒนาการที่ชัดเจนขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 12 โดยมีราชวงศ์ลาวเป็นต้นวงศ์บรรพบุรุษ สืบสายไปจนถึงพญามังราย
               คติการสร้างเมืองในที่ราบเชียงรายก่อนราชวงศ์มังราย สามารถจำแนกกำเนิดเมืองได้ 3 ลักษณะ คือ กำเนิดเมืองโดยพุทธทำนาย กำเนิดเมืองโดยผู้นำทางวัฒนธรรม เช่น นาค ฤษี และกำเนิดเมืองโดยผู้นำกลุ่มชน  การเลือกที่ตั้งเมืองต้องเป็น มงคลและมีภูมิศาสตร์ ชัยภูมิที่ดี โดยเป็นที่ราบใกล้เชิงเขาและแม่น้ำ มีต้นไม้ศรีเมืองและวังกษัตริย์อยู่ในตำแหน่งประธานสำคัญกลางเวียง ทั้งยังมีการให้ความสำคัญกับสิ่งล้อมเวียง คือประตูและมุมเวียงในทิศสำคัญทั้งแปด 
               ชุมชนหริภุญไชย บริเวณลุ่มแม่น้ำปิงและแม่น้ำกวงในพุทธศตวรรษที่ 13 มีความเจริญอย่างรวดเร็วจากการรับวัฒนธรรมทวารวดีทางภาคกลาง ต่อมาในราวพุทธศตวรรษที่ 17-18 บริเวณลุ่มน้ำอื่นๆ ก็ได้พัฒนาการเป็นสังคมเมืองขนาดใหญ่ควบคู่กัน คือ เมืองพะเยาบริเวณลุ่มน้ำอิง เมืองเขลางค์บริเวณลุ่มน้ำวัง เมืองแพร่บริเวณลุ่มน้ำยม และเมืองน่านบริเวณลุ่มน้ำน่าน  คติทางพุทธศาสนาที่รับมาจากวัฒนธรรมทวารวดีที่ส่งผลต่อคติการสร้างเมือง คือ คติการบูชาพระบรมธาตุและคติโลกศาสตร์ คติการบูชาพระบรมธาตุก่อให้เกิดการสร้างธาตุเจดีย์เพื่อบรรจุพระบรมธาตุ โดยสอดคล้องกับภูมิศาสตร์จักรวาลที่มีธาตุเจดีย์อยู่ในตำแหน่งศูนย์กลางประดุจเขาพระสุเมรุ ดังที่ปรากฏในเวียงหริภุญไชยที่มีพระธาตุหริภุญไชยเป็นธาตุเจดีย์สำคัญกลางเมือง  ลักษณะทางกาย
ภาพของเมืองหริภุญไชยและเวียงสำคัญ อาทิ เขลางค์ แพร่ พะเยา มีรูปเวียงคันน้ำคูดินวงโค้งไม่สม่ำ
เสมอ โดยเอกสารตำนานกล่าวถึงฤษีสร้างเวียงดังกล่าวให้เกิดวงโค้งด้วยหอยสังข์ ซึ่งสอดคล้องกับการเคลื่อนตัวของดาวเคราะห์ตามหลักโหราศาสตร์ทักษา เมื่อพญามังรายขยายอำนาจจากแคว้นโยนกบริเวณที่ราบเชียงรายสู่ที่ราบลำพูน และได้ครองหริภุญไชยในปี พ.ศ.1835  ก่อนและหลังการยึดครองหริภุญไชยพญามังรายได้สร้างเมืองจำนวนหนึ่ง ที่สำคัญคือ เมืองเชียงราย และเมืองกุมกาม คติการสร้างเมืองของพญามังรายยังคงความเชื่อดั้งเดิมท้องถิ่น คือ ให้ความสำคัญกับภูเขาศักดิ์สิทธิ์และต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ดังปรากฏดอยจอมทองเป็นสะดือเมืองเชียงราย และต้นมะเดื่อเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของเมืองกุมกาม
คติการสร้างเมืองเชียงใหม่สมัยพญามังราย
ในปี พ.ศ.1839 พญามังรายสถาปนาเมืองเชียงใหม่เพื่อเป็นศูนย์กลางอำนาจควบคุมทั้งเมืองในที่ราบเชียงรายและลำพูน คติการสร้างเมืองเชียงใหม่นั้น สันนิษฐานได้ว่ามีการผสมผสานความเชื่อดั้งเดิม คือ ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ในลักษณะเสาอินทขีล เข้ากับหลักการออกแบบเมืองที่ได้รับอิทธิพลจากภายนอก ได้แก่ แผนภาพวัสดุปุรุษมณฑล ซึ่งเป็นแผนภาพอินเดียที่มักใช้ในงานทางสถาปัตยกรรม โดยเชียงใหม่รับจากวัฒนธรรมสุโขทัย ซึ่งรับมาจากวัฒนธรรมเขมรอีกทอดหนึ่ง  และหลักโหราศาสตร์ทักษา ซึ่งเป็นองค์ความรู้ทางดาราศาสตร์เกี่ยวข้องกับการเข้ามามีอิทธิพลของดาวนพเคราะห์ทั้งเก้า  อีกส่วนหนึ่งคือ เรขาคณิตสัดส่วนทองคำ

คติการสร้างเมืองเชียงใหม่สมัยพุทธศตวรรษที่ 20-24
ลักษณะทางกายภาพของเมืองเชียงใหม่ที่ปรากฏโดยสอดคล้องกับคติสัญลักษณ์คือ การสร้างพื้นที่เวียงเป็นรูปจัตุรัส ล้อมรอบด้วยคูน้ำ อันสื่อถึงภาพจำลองอาณาเขตจักรวาลศักดิ์สิทธิ์  ส่วนพื้นที่เวียงรูปโค้งนั้นเป็นส่วนหนึ่งของรูปหอยสังข์ที่แสดงการเคลื่อนตัวในลักษณะทักษิณาวัตรของดาวนพเคราะห์  พื้นที่ใช้สอยภายในเมืองประกอบด้วย 3 เขต หรือ ตรีบูรสอดคล้องกับแผนภาพวัสดุปุรุษมณฑล อันมีพื้นที่ว่างบริเวณศูนย์กลางเมืองเป็นที่สถิตของพรหม ถัดมาเป็นเขตของเทวดาและมนุษย์ตามลำดับ  สัมฤทธิผลของการออกแบบเมืองด้วยคติแบบแผนดังกล่าว คือ การพยายามผสานความมีชีวิตของจักรวาลที่เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติอันประกอบด้วยฟ้า ดิน มนุษย์ เข้ากับจักรวาลนามธรรมภายในจิต เพื่อให้ดำรงอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน อุดมด้วยความสุขบริบูรณ์ในท้ายที่สุด
กล่าวโดยสรุป คติการสร้างเมืองเชียงใหม่ในระยะแรกสมัยพญามังราย ประกอบด้วยคติดั้งเดิม ได้แก่ คติเรื่องความเป็น มงคลและ ชัยภูมิของพื้นที่ คติต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ คติอินทขีล และคติภูเขาศักดิ์สิทธิ์  ส่วนคติที่รับมาจากภายนอก ได้แก่ คติ มณฑลตามแผนภาพวัสดุปุรุษมณฑล และหลักโหราศาสตร์ทักษา  ทั้งนี้ยังไม่ปรากฏอิทธิพลพุทธศาสนาที่ชัดเจน
หลังสิ้นรัชกาลพญามังรายในปลายพุทธศตวรรษที่ 19  เมืองเชียงใหม่ถูกลดบทบาทลง เนื่องจากกษัตริย์ได้ย้ายไปประทับที่เชียงรายและเชียงแสน ปล่อยให้เมืองเชียงใหม่เป็นที่ประทับของอุปราช  ต่อมาในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 20 รัชสมัยของพญากือนา พุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ได้แพร่สู่เมืองเชียงใหม่ ซึ่งกลับมามีสถานะเป็นศูนย์กลางล้านนาอีกครั้ง  คติทางพุทธศาสนา ได้แก่ คติกัลปนา คติเรื่องกรรมและผลของกรรม คติพุทธศาสนา 5,000 ปี คติการอุทิศผลบุญกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับ และคติจักรพรรดิราช ได้เข้ามามีอิทธิพลผสานควบคู่ไปกับความเชื่อผีดั้งเดิม  ซึ่งส่งผลต่อแนวคติ บทบาทหน้าที่ และองค์ประกอบของเมืองเชียงใหม่อย่างมีนัยสำคัญ กล่าวคือ ในทางกายภาพของเวียง ได้มีการสร้างพระธาตุเจดีย์และวัดอินทขีลควบคู่กับตำแหน่งที่ตั้งเสาอินทขีลเดิม ส่วนภายนอกเวียงนั้นมีการประดิษฐานพระบรมธาตุบนดอยสุเทพ อันเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่สถิตของผีบรรพบุรุษมาแต่เดิม  สันนิษฐานว่าการสถาปนาพระธาตุบนดอยสุเทพน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของวัฒนธรรมการสร้างพระธาตุบนภูเขาในล้านนา
               ปลายพุทธศตวรรษที่ 20 รัชสมัยพระเจ้าติโลกราช มีความพยายามเปลี่ยนแปลงการปกครองให้มีลักษณะรวมอำนาจสู่ศูนย์กลาง และการขยายอำนาจตามคติ จักรพรรดิราชควบคู่กับการประกอบพระราชกรณียกิจทางศาสนาตามแบบอย่างพระเจ้าอโศก อาทิ การสร้างศาสนาสถาน เช่น วัดมหาโพธาราม ปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์ สนับสนุนการศึกษาของสงฆ์ และโปรดให้มีการสังคายนาพระไตรปิฎกขึ้นเป็นครั้งแรกในล้านนา  หลังรัชกาลพระเจ้าติโลกราชจนสิ้นราชวงศ์มังราย คติการบูชาพระธาตุยังคงมีอิทธิพลต่อองค์ประกอบของเมืองเชียงใหม่ ดังจะพบว่ามีการให้ความสำคัญกับพระธาตุเจดีย์และวัดสำคัญทั้ง 8 ทิศรอบเจดีย์หลวงที่อยู่กลางเวียง ในช่วง พ.ศ.2101-2317 เมืองเชียงใหม่อยู่ภายใต้การปกครองของพม่า แต่เชียงใหม่และล้านนาก็ยังคงสืบทอดคติเกี่ยวกับการสร้างพระธาตุและวัด  ต่อมาผู้นำท้องถิ่นล้านนาเข้าสวามิภักดิ์ต่อพระเจ้ากรุงธนบุรี ล้านนาจึงกลายเป็นเมืองประเทศราชของสยามนับตั้งแต่ พ.ศ.2317 และเป็นมณฑลพายัพในสมัย ร.5  จนกระทั่ง พ.ศ.2476 เชียงใหม่จึงเปลี่ยนสถานะเป็นจังหวัดหนึ่งของประเทศไทย  ภายใต้บริบทของปมปัญหาระหว่างสยามกับล้านนา ได้ก่อให้เกิดคติชุธาตุหรือพระธาตุประจำปีเกิด โดยการนำของเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ ลำพูน และลำปาง เพื่อใช้เป็นอุดมการณ์ต่อต้านอำนาจจากส่วนกลางคือรัฐสยามอย่างเงียบสงบ  โดยการสร้างจิตสำนึกร่วมภายใต้ศรัทธาในพระพุทธศาสนาผ่านเครือข่ายการบูชาพระธาตุทั้งภายในและภายนอกดินแดนล้านนา
               กล่าวโดยสรุป พัฒนาการของเมืองเชียงใหม่นับตั้งแต่การสถาปนาพุทธศาสนาในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 20 ส่งผลให้คติการนับถือพระธาตุเจดีย์ขึ้นมามีบทบาทโดดเด่นเหนือคติการนับถือผีท้องถิ่นดั้งเดิม ก่อให้เกิดเครือข่ายทางพุทธศาสนาที่สามารถขยายอาณาเขต พุทธเขตได้อย่างกว้างขวาง และเป็นพลังสำคัญที่ทำให้เชียงใหม่สามารถดำรงความเป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมล้านนาได้อย่างสืบเนื่องยาวนาน แม้ว่าจะมีวัฒนธรรมจากทางภาคกลางเข้ามาผสมผสานอยู่มากในปัจจุบัน 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น